เมื่อคืนที่ผ่านมา ธนาคารกลางของสหรัฐ ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
ซึ่งเป็นการปรับขึ้นระดับสูงสุด ในรอบเกือบ 15 ปี เพื่อที่จะสู้กับค่าเงินเฟ้อ ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ เงินบาทไทยอ่อนค่าลงอย่างหนัก ทะลุ 37 บาทต่อดอลล่าไปแล้ว ถึงแม้ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการตำแหน่งนายก จะออกมาส่งสัญญาณ ให้ทาง ธปท. หรือธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ควบคุมเงินบาท ให้อยู่ในโซน 35 บาทต่อดอลล่าร์
เฟด ออกมายอมรับว่า การขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะทำให้ดอกเบี้ยในส่วนของเงินกู้พุ่งสูงขึ้น ในระยะเวลาหนึ่ง โดยทางธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ หรือ FED ประกาศเพิ่ม เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.75% ส่งผลทำให้ตอนนี้ ดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 3-3.25% การขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลาง ความกังวลว่า ในการขึ้นดอกเบี้ย ในครั้งนี้เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ จะส่งผลทำให้เศรษฐกิจ ชะลอตัวลง
มันเป็นเรื่องจำเป็น ที่ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในครั้งนี้ เพื่อควบคุมราคาสินค้าลดลง และลดอุปสงค์ ทั้งนี้เป็นการหลีกหนี ผลกระทบและความเสียหาย กับเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งนาย เจโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ ยอมรับว่า มันจะส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจของประเทศ แน่นอน
“เราต้องก้าวผ่านเงินเฟ้อไปให้ได้” เขากล่าวและว่า “ผมหวังว่ายาแรงจะไม่เจ็บปวด แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น”
สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ คล้ายคลึงกับสหรัฐฯ เพราะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อพยายามแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ธนาคารคารกลางอังกฤษเอง คาดการณ์ว่าจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย อีกต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 7 เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
นักวิเคราะห์เริ่มกังวลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงในหลายประเทศทั่วโลก อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวครั้งใหญ่ได้ เบน เมย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจมหภาค ของออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ ระบุว่า เศรษฐกิจโลกตอนนี้
แม้จะยังไม่เข้าสู่ภาวะชะลอตัว หลังตัวเลขเศรษฐกิจช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2022 ยังทรงตัวดีอยู่ แต่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2023 จะอ่อนตัวลงหนักสุดในรอบ 10 ปี ไม่นับปี 2020 ที่เกิดการระบาดใหญ่ของโควิด
“สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ หากต้องเลือกระหว่างการปล่อยให้เงินเฟ้อยังสูงอยู่เป็นเวลานาน…กับการผลักเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว บรรดาผู้นำอำนวยการธนาคารกลาง ดูจะเลือกผลักเศรษฐกิจสู่ภาวะชะลอตัว เพื่อให้เงินเฟ้อกลับไปอยู่ระดับเป้าหมายให้ได้” เขากล่าว
ดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะขึ้นอีกเท่าไหร่
เฟดกำลังขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายด้วย ความเร็วมากสุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ เพื่อคุมเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี สวนทางนโยบายการคงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมต่ำยาวนานหลายปี นักวิเคราะห์มองว่า ช่วงแรก เฟดหวังว่าจะแก้ปัญหาได้เร็วกว่านี้ หลังสถานการณ์ระบาดของโควิดเริ่มคลี่คลาย
แต่สงครามในยูเครน ที่กระทบกับน้ำมันและซัพพลายสินค้า กลับทำให้เงินเฟ้อยังพุ่งทะยาน ตอนนี้ แม้ราคาน้ำมันเริ่มลดลงมาแล้ว แต่เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มสูง ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อเดือน ส.ค. สูงถึง 8.3% จากปัจจัยอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาแพงขึ้น บริการด้านสุขภาพ และค่าเล่าเรียนที่สูงขึ้น
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันแล้ว และพุ่งถึง 3% อย่างรวดเร็ว จากเดิมที่อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมแทบจะเป็นศูนย์ ถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดนับแต่ต้นปี 2008 นักวิเคราะห์และบรรดานักการเมืองคาดการณ์แล้วว่า เฟดอาจดันอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปถึง 4.4% ภายในสิ้นปีนี้ และจะยังเพิ่มสูงในปี 2023
“สิ่งที่น่าตกใจคือความเร็ว” ไบรอัน โคลตัน หัวหน้านักเศรษฐกิจ บริษัท ฟิทช์เรทติงส์ กล่าว “เฟดต้องขยับตัวเร็ว…ซึ่งจะกระทบบริษัทและครัวเรือนอย่างแน่นอน”
ค่าเงินบาททะยานทะลุแดน 37 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เรียกว่าอ่อนค่าต่อเนื่อง จากวันก่อนหน้าที่ 36.97 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนไทยคาดว่า ยิ่งเฟดประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกเกือบ 1% เช่นนี้ จะยิ่งทำให้เงินบาทไทยอ่อนค่ามากขึ้นไปอีก
พีพีทีวีรายงานว่า นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์ว่า เงินบาทจะผันผวนสูงในช่วงก่อนและหลังตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด โดยเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบกว้างถึง 36.70-37.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ด้าน อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับเมื่อวานนี้ (21 ก.ย.) ว่า เงินบาทอ่อนค่าเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยจะหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ถึงสถานการณ์นี้
“ประเด็นที่จะคุยกับ ธปท. นั้น เราก็ต้องถามว่ามีปัจจัยอะไรมากระทบบ้าง จะมีการกำหนดแนวทางไหม ดูแลอย่างไร จริง ๆ แล้วค่าเงิน ธปท.ดูแลอยู่แล้ว เราจะไปกำหนดในเรื่องพวกนี้ไม่ได้ เพียงแต่บอกว่าเรามีความเป็นห่วง การที่อ่อนเร็วเกินหรือไม่ จะกระทบอะไร เพราะในด้านซับพลายไซต์ เราก็ดูแลเต็มที่”
ขอบคุณแหล่งที่มา : bbc.com
สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : srfoils.net